งาดำ ผมร่วง
น้ำมันงาดำสกัดเย็น ริซูอิช่วยฟื้นฟูไขข้อเสื่อม ป้องกันกระดูกพรุน ลดการอักเสบและคลายกล้ามเนื้อจากการทำงานหนัก
งาดำกับงาขาวแตกต่างกันอย่างไร
งาดำ คือ งาที่ไม่ผ่านการขัดสี
งาขาว คือ งาสีขาวที่ไม่ผ่านการขัดสี สีขาวที่มีจึงไม่ใช่สีขาวจั๊ว แต่เป็นสีขาวธรรมชาติ อาจจะมีออกเหลืองบ้าง เทาบ้างแล้วแต่สายพันธุ์ งาขาวที่เราเห็นว่าเป็นสีขาวแบบสม่ำเสมอเป็นงาขาวที่ผ่านการขัดสีมาแล้ว งาขาวแบบนี้คุณค่าทางอาหารน้อยกว่างาดำและงาขาวแบบไม่ขัดสีอยู่แล้ว ดังนั้น การเปรียบเทียบคุณค่าทางอาหารที่เราจะพูดถึงจะเป็นในส่วนของงาดำและงาขาวธรรมชาติ (ไม่ขัดสี)
จากข้อมูลที่ผู้เขียนได้ค้นคว้ามา พบว่า สารอาหารโดยรวมในงาดำและงาขาวไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่จุดที่แตกต่างคือฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระนั่นเอง
รับประทานงาดำอย่างไรปลอดภัยและได้ประโยชน์สูงสุด
วีธีการบริโภคงาดำมีอยู่หลายวิธี แต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป เราอยากให้ท่านลองพิจารณาตามข้อมูลที่จะนำเสนอดังต่อไปนี้
รับประทานทั้งเมล็ด
ถือเป็นวีธีการบริโภคงาดำที่ได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะได้บริโภคงาดำทั้งเมล็ดทำให้ได้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนมากที่สุด
การบริโภคงาดำทั้งเมล็ด จำเป็นต้องผ่านการบด เพราะเปลือกของเมล็ดงาดำ ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ หากเราทานงาดำทั้งเมล็ดโดยที่เราไม่ได้บดงาดำเสียก่อน เราจะได้รับประโยชน์น้อยมาก เพราะงาดำจำนวนมากจะผ่านระบบทางเดินอาหารของเราและถูกขับถ่ายออกมา โดยที่ร่างกายไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย (กินงาดำเข้าไปอย่างไรก็ถ่ายออกมาเป็นอย่างนั้น)
ถ้าทำอย่างนี้แล้วร่างกายเราคงได้รับสารอาหารสำคัญที่มีในเมล็ดงาดำนั้นได้อย่างเต็มที่ การที่เราเลือกบดงาดำให้ละเอียดก่อนรับประทานนั้นถือว่าถูกต้อง ถ้าเรามั่นใจว่าเมล็ดงาดำที่เรานำมาบดนั้นไม่มีเชื้อราและสารปนเปื้อนใดๆ เพราะตาเปล่าเราไม่สามารถมองเห็นสารพิษปนเปื้อนได้ และจะทำให้เราจะได้รับสารพิษเหล่านี้ โดยเฉพาะ สารพิษอาฟล่า (Afla Toxin) ที่พบได้ในเมล็ดงาดำเข้าร่างกายไปด้วย ซึ่งสารพิษนี้มีผลร้ายกับตับและไต ก่อให้เกิดมะเร็งตับได้ และการที่เราคั่วงาดำก่อนนำมาบดนั้น แท้จริงกลิ่นหอมที่ได้จากการคั่วงาดำนั้นคือกลิ่นงาไหม้ เพราะน้ำมันที่อยู่ในงาดำนั้นมีจุดเผาไหม้ที่ต่ำมาก งาที่ถูกคั่วไหม้นั้นจะกลับกลายเป็นของเสียและสารก่อมะเร็ง (Carcinogen) ซึ่งเราก็จะได้รับประทานงาดำที่มีสารก่อมะเร็งเข้าไปด้วย
การที่จะทำให้เมล็ดงาดำนั้นเกิดสรรพคุณได้อย่างเต็มคุณค่าสำหรับการบริโภคนั้น จำเป็นจะต้องผ่านกระบวนการที่ถูกต้องเพื่อคงความบริสุทธิ์เข้มข้นเอาไว้ และเพื่อที่จะรักษากรดไขมันดีในน้ำมันงาดำที่เป็นประโยชน์และจำเป็นต่อร่างกายเราในการนำมาใช้ซ่อมแซมและเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอของร่างกายนั้น น้ำมันงาดำนั้นก็ควรจะเป็นแบบสกัดเย็นที่ไม่ผ่านความร้อน ซึ่งเป็นตัวทำลายกรดไขมันที่ดีไปหมด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านธรรมชาติบำบัดแนะนำว่า ในหนึ่งวัน ร่างกายเราควรได้รับปริมาณแคลลอรี่ 1 ใน 10 จากกรดไขมันที่ดี
น้ำมันงาดำสกัดเย็นที่ดีนั้น ควรจะถูกบรรจุอย่างมิดชิดหลังขั้นตอนการสกัดเย็นเพื่อเก็บรักษาคุณประโยชน์และสารอาหารสำคัญไว้ เช่น นำมาบรรจุไว้ในรูปแบบแคปซูล ซึ่งถือว่าเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ดีมากรูปแบบหนึ่งเพราะสารอาหารสำคัญต่างๆในงาดำมีความไวต่อแสงและอากาศอย่างมาก การเปิดบรรจุภัณฑ์ของน้ำมันงาดำบ่อยๆ เช่น บรรจุภัณฑ์ที่เป็นรูปแบบขวด จะทำให้น้ำมันงาดำเสื่อมประสิทธิภาพและเป็นอันตรายได้หากบริโภคเข้าไป หากเลือกที่จะใช้น้ำมันงาดำในรูปแบบขวด ก็ควรจะซื้อเป็นขนาดเล็กที่เราสามารถใช้ให้หมดได้เร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงสภาพหรือเสื่อมประสิทธิภาพของน้ำมันงาดำ ดังนั้น การเลือกรับประทานน้ำมันงาดำสกัดเย็นที่บรรจุในแคปซูลนั้น นับว่าเป็นการเลือกบริโภคน้ำมันงาดำที่จะทำให้เราได้รับประโยชน์จากสารอาหารสำคัญในงาดำได้อย่างดี
สำหรับแพทย์แผนจีน งาดำเป็นยาที่ใช้บำรุงตับและไต มีสรรพคุณในการบำรุงเลือด เพิ่มสารแห่งชีวิตหรือจิง (Jing) และเพิ่มหยินในร่างกาย แก้ปราณตับและไตพร่อง
เนื่องจากไตเป็นอวัยวะพื้นฐานและเป็นแหล่งสร้างสารแห่งชีวิต (สารจิง = Jing) จึงเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่สร้างสารแห่งความหนุ่มสาว ซึ่งลักษณะของความหนุ่มสาวของคนเราจะดูได้จากกระดูก ไขข้อและฟันที่แข็งแรง ผิวหนังที่ละเอียดและเต่งตึง ผมดกดำและไม่หงอกหรือร่วงมากนัก แพทย์จีนจึงแนะนำให้คนทั่วไปบริโภคงาดำเพื่อสร้างความอ่อนเยาว์ ต้านความแก่ บำรุงกระดูก ไขข้อ แก้ผมหงอกและผมร่วง
รับประทานงาดำอย่างไรปลอดภัยและได้ประโยชน์สูงสุด
การรับประทานน้ำมันงาดำสกัดเย็นนั้นก็มีหลายแบบเพื่อจุดประสงค์ต่างกันดังต่อไปนี้
1. กินพร้อมอาหาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมของทั้งน้ำมันและอาหาร เนื่องจากวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดละลายในกรดไขมันจำเป็นเพื่อให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ อีกทั้งการกินไปพร้อมอาหารนี้ทำให้การย่อยง่ายขึ้น เหมาะสำหรับผู้ต้องการกินเพื่อบำรุง ผู้สูงอายุ ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เด็กเล็ก และวัยรุ่น
2. กินในขณะท้องว่าง ซึ่งจะมีผลเกี่ยวกับการขับของเสียและสารพิษออกจากเซลล์และอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะสมอง รวมถึงตับ ไต ลำไส้ ซึ่งเป็นอวัยวะในระบบขับถ่ายและกำจัดสารพิษของร่างกาย (Detoxification System) ซึ่งเหมาะสำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการเน้นจุดประสงค์นี้ บำรุงผิวพรรณ กันการเสื่อมของเส้นผม ท้องผูก สารพิษตกค้างสูง ระบบน้ำเหลืองเสีย พิษในเลือดมาก มีโรคเรื้อรังมานาน กินยาแผนปัจจุบันมาเยอะ และอื่นๆ
3. กินพร้อมกับยาแผนปัจจุบัน เพื่อบรรเทาอาการผลข้างเคียงของการใช้ยา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ายาแผนปัจจุบันนั้นมีสารก่อพิษในร่างกายและมีผลข้างเคียงต่อระบบภายใน การกินน้ำมันงาดำสกัดเย็น 1,000 ถึง 4,000 มิลลิกรัมพร้อมกับการกินยาแผนปัจจุบันจะช่วยปกป้องอวัยวะต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ ตับ ไต และระบบย่อยอาหาร
4. กิน 2,000 ถึง 4,000 มิลลิกรัมในขณะท้องว่างก่อนนอน เพื่อส่งเสริมการนอนและผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งเกิดจากความตึงเครียดในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ถ้ามีการกินในลักษณะนี้อยู่เป็นประจำพร้อมสมุนไพรจำพวกลาเวนเดอร์และคาโมมายล์ จะทำให้สภาวะจิตใจ อารมณ์ และการนอนดีขึ้น
5. กินในขณะที่มีอาการปวดหรืออักเสบสูง เช่น ปวดข้อ มีไข้สูง ปวดแดง ร้อน (อาการ) โดยกิน 2,000 มิลลิกรัมทุกๆ 4 ชั่วโมง จนอาการดีขึ้นแล้วจึงลดปริมาณลง
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://neramitthai.com
สนใจ น้ำมันงาดำสกัดเย็น ริซูอิ คลิ๊ก
Inbox : m.me/neramitthaidotcom
Line :@neramitme
Tel : 092-2637200
งาดำกับงาขาวแตกต่างกันอย่างไร
งาดำ คือ งาที่ไม่ผ่านการขัดสี
งาขาว คือ งาสีขาวที่ไม่ผ่านการขัดสี สีขาวที่มีจึงไม่ใช่สีขาวจั๊ว แต่เป็นสีขาวธรรมชาติ อาจจะมีออกเหลืองบ้าง เทาบ้างแล้วแต่สายพันธุ์ งาขาวที่เราเห็นว่าเป็นสีขาวแบบสม่ำเสมอเป็นงาขาวที่ผ่านการขัดสีมาแล้ว งาขาวแบบนี้คุณค่าทางอาหารน้อยกว่างาดำและงาขาวแบบไม่ขัดสีอยู่แล้ว ดังนั้น การเปรียบเทียบคุณค่าทางอาหารที่เราจะพูดถึงจะเป็นในส่วนของงาดำและงาขาวธรรมชาติ (ไม่ขัดสี)
จากข้อมูลที่ผู้เขียนได้ค้นคว้ามา พบว่า สารอาหารโดยรวมในงาดำและงาขาวไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่จุดที่แตกต่างคือฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระนั่นเอง
รับประทานงาดำอย่างไรปลอดภัยและได้ประโยชน์สูงสุด
วีธีการบริโภคงาดำมีอยู่หลายวิธี แต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป เราอยากให้ท่านลองพิจารณาตามข้อมูลที่จะนำเสนอดังต่อไปนี้
รับประทานทั้งเมล็ด
ถือเป็นวีธีการบริโภคงาดำที่ได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะได้บริโภคงาดำทั้งเมล็ดทำให้ได้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนมากที่สุด
การบริโภคงาดำทั้งเมล็ด จำเป็นต้องผ่านการบด เพราะเปลือกของเมล็ดงาดำ ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ หากเราทานงาดำทั้งเมล็ดโดยที่เราไม่ได้บดงาดำเสียก่อน เราจะได้รับประโยชน์น้อยมาก เพราะงาดำจำนวนมากจะผ่านระบบทางเดินอาหารของเราและถูกขับถ่ายออกมา โดยที่ร่างกายไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย (กินงาดำเข้าไปอย่างไรก็ถ่ายออกมาเป็นอย่างนั้น)
จึงเกิดคำถามต่อมาว่า ถ้าอย่างนั้น เราก็นำเมล็ดงาดำนั้น มาคั่วแล้วบดละเอียดก็ได้
ถ้าทำอย่างนี้แล้วร่างกายเราคงได้รับสารอาหารสำคัญที่มีในเมล็ดงาดำนั้นได้อย่างเต็มที่ การที่เราเลือกบดงาดำให้ละเอียดก่อนรับประทานนั้นถือว่าถูกต้อง ถ้าเรามั่นใจว่าเมล็ดงาดำที่เรานำมาบดนั้นไม่มีเชื้อราและสารปนเปื้อนใดๆ เพราะตาเปล่าเราไม่สามารถมองเห็นสารพิษปนเปื้อนได้ และจะทำให้เราจะได้รับสารพิษเหล่านี้ โดยเฉพาะ สารพิษอาฟล่า (Afla Toxin) ที่พบได้ในเมล็ดงาดำเข้าร่างกายไปด้วย ซึ่งสารพิษนี้มีผลร้ายกับตับและไต ก่อให้เกิดมะเร็งตับได้ และการที่เราคั่วงาดำก่อนนำมาบดนั้น แท้จริงกลิ่นหอมที่ได้จากการคั่วงาดำนั้นคือกลิ่นงาไหม้ เพราะน้ำมันที่อยู่ในงาดำนั้นมีจุดเผาไหม้ที่ต่ำมาก งาที่ถูกคั่วไหม้นั้นจะกลับกลายเป็นของเสียและสารก่อมะเร็ง (Carcinogen) ซึ่งเราก็จะได้รับประทานงาดำที่มีสารก่อมะเร็งเข้าไปด้วย
การที่จะทำให้เมล็ดงาดำนั้นเกิดสรรพคุณได้อย่างเต็มคุณค่าสำหรับการบริโภคนั้น จำเป็นจะต้องผ่านกระบวนการที่ถูกต้องเพื่อคงความบริสุทธิ์เข้มข้นเอาไว้ และเพื่อที่จะรักษากรดไขมันดีในน้ำมันงาดำที่เป็นประโยชน์และจำเป็นต่อร่างกายเราในการนำมาใช้ซ่อมแซมและเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอของร่างกายนั้น น้ำมันงาดำนั้นก็ควรจะเป็นแบบสกัดเย็นที่ไม่ผ่านความร้อน ซึ่งเป็นตัวทำลายกรดไขมันที่ดีไปหมด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านธรรมชาติบำบัดแนะนำว่า ในหนึ่งวัน ร่างกายเราควรได้รับปริมาณแคลลอรี่ 1 ใน 10 จากกรดไขมันที่ดี
น้ำมันงาดำสกัดเย็นที่ดีนั้น ควรจะถูกบรรจุอย่างมิดชิดหลังขั้นตอนการสกัดเย็นเพื่อเก็บรักษาคุณประโยชน์และสารอาหารสำคัญไว้ เช่น นำมาบรรจุไว้ในรูปแบบแคปซูล ซึ่งถือว่าเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ดีมากรูปแบบหนึ่งเพราะสารอาหารสำคัญต่างๆในงาดำมีความไวต่อแสงและอากาศอย่างมาก การเปิดบรรจุภัณฑ์ของน้ำมันงาดำบ่อยๆ เช่น บรรจุภัณฑ์ที่เป็นรูปแบบขวด จะทำให้น้ำมันงาดำเสื่อมประสิทธิภาพและเป็นอันตรายได้หากบริโภคเข้าไป หากเลือกที่จะใช้น้ำมันงาดำในรูปแบบขวด ก็ควรจะซื้อเป็นขนาดเล็กที่เราสามารถใช้ให้หมดได้เร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงสภาพหรือเสื่อมประสิทธิภาพของน้ำมันงาดำ ดังนั้น การเลือกรับประทานน้ำมันงาดำสกัดเย็นที่บรรจุในแคปซูลนั้น นับว่าเป็นการเลือกบริโภคน้ำมันงาดำที่จะทำให้เราได้รับประโยชน์จากสารอาหารสำคัญในงาดำได้อย่างดี
สำหรับแพทย์แผนจีน งาดำเป็นยาที่ใช้บำรุงตับและไต มีสรรพคุณในการบำรุงเลือด เพิ่มสารแห่งชีวิตหรือจิง (Jing) และเพิ่มหยินในร่างกาย แก้ปราณตับและไตพร่อง
เนื่องจากไตเป็นอวัยวะพื้นฐานและเป็นแหล่งสร้างสารแห่งชีวิต (สารจิง = Jing) จึงเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่สร้างสารแห่งความหนุ่มสาว ซึ่งลักษณะของความหนุ่มสาวของคนเราจะดูได้จากกระดูก ไขข้อและฟันที่แข็งแรง ผิวหนังที่ละเอียดและเต่งตึง ผมดกดำและไม่หงอกหรือร่วงมากนัก แพทย์จีนจึงแนะนำให้คนทั่วไปบริโภคงาดำเพื่อสร้างความอ่อนเยาว์ ต้านความแก่ บำรุงกระดูก ไขข้อ แก้ผมหงอกและผมร่วง
รับประทานงาดำอย่างไรปลอดภัยและได้ประโยชน์สูงสุด
การรับประทานน้ำมันงาดำสกัดเย็นนั้นก็มีหลายแบบเพื่อจุดประสงค์ต่างกันดังต่อไปนี้
1. กินพร้อมอาหาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมของทั้งน้ำมันและอาหาร เนื่องจากวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดละลายในกรดไขมันจำเป็นเพื่อให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ อีกทั้งการกินไปพร้อมอาหารนี้ทำให้การย่อยง่ายขึ้น เหมาะสำหรับผู้ต้องการกินเพื่อบำรุง ผู้สูงอายุ ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เด็กเล็ก และวัยรุ่น
2. กินในขณะท้องว่าง ซึ่งจะมีผลเกี่ยวกับการขับของเสียและสารพิษออกจากเซลล์และอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะสมอง รวมถึงตับ ไต ลำไส้ ซึ่งเป็นอวัยวะในระบบขับถ่ายและกำจัดสารพิษของร่างกาย (Detoxification System) ซึ่งเหมาะสำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการเน้นจุดประสงค์นี้ บำรุงผิวพรรณ กันการเสื่อมของเส้นผม ท้องผูก สารพิษตกค้างสูง ระบบน้ำเหลืองเสีย พิษในเลือดมาก มีโรคเรื้อรังมานาน กินยาแผนปัจจุบันมาเยอะ และอื่นๆ
3. กินพร้อมกับยาแผนปัจจุบัน เพื่อบรรเทาอาการผลข้างเคียงของการใช้ยา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ายาแผนปัจจุบันนั้นมีสารก่อพิษในร่างกายและมีผลข้างเคียงต่อระบบภายใน การกินน้ำมันงาดำสกัดเย็น 1,000 ถึง 4,000 มิลลิกรัมพร้อมกับการกินยาแผนปัจจุบันจะช่วยปกป้องอวัยวะต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ ตับ ไต และระบบย่อยอาหาร
4. กิน 2,000 ถึง 4,000 มิลลิกรัมในขณะท้องว่างก่อนนอน เพื่อส่งเสริมการนอนและผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งเกิดจากความตึงเครียดในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ถ้ามีการกินในลักษณะนี้อยู่เป็นประจำพร้อมสมุนไพรจำพวกลาเวนเดอร์และคาโมมายล์ จะทำให้สภาวะจิตใจ อารมณ์ และการนอนดีขึ้น
5. กินในขณะที่มีอาการปวดหรืออักเสบสูง เช่น ปวดข้อ มีไข้สูง ปวดแดง ร้อน (อาการ) โดยกิน 2,000 มิลลิกรัมทุกๆ 4 ชั่วโมง จนอาการดีขึ้นแล้วจึงลดปริมาณลง
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://neramitthai.com
สนใจ น้ำมันงาดำสกัดเย็น ริซูอิ คลิ๊ก
Inbox : m.me/neramitthaidotcom
Line :@neramitme
Tel : 092-2637200
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น