โรคเข่าเสื่อม ควรกินอะไร
น้ำมันงาดำสกัดเย็น ริซูอิช่วยฟื้นฟูไขข้อเสื่อม ป้องกันกระดูกพรุน ลดการอักเสบและคลายกล้ามเนื้อจากการทำงานหนัก
อายุ 40 ขึ้นระวังโรค “ข้อเข่าเสื่อม” ผู้หญิงเสี่ยงกว่าผู้ชาย 3 เท่า
แพทย์เตือนผู้ที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไปเสี่ยงข้อเข่าเสื่อม ชี้อายุมากกว่า 65 ปี เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมได้มากกว่าร้อยละ 50 ทั้งนี้เพศหญิงมีความเสี่ยงสูงกว่าเพศชาย 2-3 เท่า แนะควบคุมน้ำหนัก ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อทุกวันอย่างสม่ำเสมอ
นายแพทย์ธีรพล โตพันธานนท์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากความผิดปกติของกระดูกอ่อนบริเวณผิวข้อเข่าทั้งรูปร่าง โครงสร้าง คุณสมบัติ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของกระดูกบริเวณใกล้ข้อ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นทำให้ผิวข้อเสียหายไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมได้และอาจมีความเสื่อมรุนแรงขึ้น โรคข้อเข่าเสื่อมมีความสัมพันธ์กับอายุโดยทั่วไปมักพบในผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี และพบว่าผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมได้มากกว่าร้อยละ 50
อย่างไรก็ตามการเกิดข้อเข่าเสื่อมไม่ได้เกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น การเสื่อมสภาพตามวัย หรือการใช้งานข้ออย่างหนักเสมอไป อาจเป็นผลมาจากโรคหรือภาวะต่าง ๆ ได้แก่ข้อเข่าเสื่อมหลังจากการบาดเจ็บรุนแรง กระดูกแตกหักถึงผิวข้อ การติดเชื้อโรคข้อทางเมตาบอลิค ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงนอกจากอายุและการใช้งานข้อเข่าอย่างหนักแล้ว ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากทำให้ผิวกระดูกอ่อนต้องรับแรงกระทำที่มากตามไปด้วยส่งผลให้กระดูกผิวข้อเสื่อมสภาพได้มากขึ้น ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณกระดูกและข้อเข่ามาก่อน ผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบและรูมาติซึ่ม เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเก๊าต์ การอักเสบของข้อบ่อยๆ รวมทั้งพันธุกรรม
นอกจากนี้ ยังพบว่าเพศหญิงมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้มากกว่าเพศชาย 2-3 เท่า สำหรับอาการของโรคข้อเข่าเสื่อมจะเริ่มมีอาการปวดบริเวณข้อเข่า ลุกขึ้นจากท่านั่งลำบาก ข้อขัด ฝืด ตึง มีเสียงดังกรอบแกรบเวลาขยับเข่า งอเข่าได้น้อยลง หรือเหยียดข้อเข่าได้ไม่สุด ในระยะแรกการปวดเข่ามักสัมพันธ์กับการลงน้ำหนัก การเดิน การขยับ ยกเว้นข้อเข่าเสื่อมจากโรคข้ออักเสบอาจมีอาการปวด บวม ร้อน ตลอดเวลาที่มีการอักเสบ ผู้ที่เป็นข้อเข่าเสื่อมอย่างรุนแรงในระยะท้าย อาการปวดเข่าอาจเกิดได้ตลอดเวลาหรือปวดตอนกลางคืนแม้ไม่ได้มีการใช้งาน ข้อเข่าจะมีการผิดรูปเกิดอาการขาโก่งหรือขาฉิ่งได้
อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่าโรคข้อเสื่อมสามารถป้องกันหรือชะลอการเสื่อมได้โดย
1. ควบคุมน้ำหนักและลดน้ำหนัก สามารถช่วยชะลอการเสื่อมของข้อเข่าและลดอาการปวดหัวเข่า การลดน้ำหนักต้องอาศัยการควบคุมอาหาร โดยรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย
2. ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ พฤติกรรม และสภาพแวดล้อม เช่นควรเลือกนั่งบนเก้าอี้ที่มีความสูงพอเหมาะและมีที่รองแขนเพื่อใช้พยุงตัวเวลาลุกขึ้นยืน หลีกเลี่ยงการคุกเข่า นั่งยอง นั่งกับพื้น หรือนั่งพับเพียบขัดสมาธิ การงอเข่ามากๆ ส่งผลให้มีการเสียดสีกันของข้อเข่ามากขึ้นและทำให้ข้อเสื่อมได้เร็วขึ้น การใช้ห้องน้ำควรเป็นชักโครกแบบนั่ง หลีกเลี่ยงการใช้ส้วมซึมแบบนั่งยองๆ ผู้ป่วยที่มีอาการปวดเข่าหรือเริ่มมีข้อเข่าเสื่อมควรหลีกเลี่ยงการเดินนานๆ การเดินบนพื้นผิวขรุขระ และใช้อุปกรณ์ช่วยพยุง เช่น ไม้เท้า เพื่อลดแรงที่กระทำต่อเข่า
3. ออกกำลังกายและบริหารกล้ามเนื้อด้านหน้าต้นขา โดยการออกกำลังกายในน้ำ ส่งผลดีต่อผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมเพราะข้อเข่าไม่ต้องรับแรงกระทำและได้บริหารกล้ามเนื้อต่างๆ ส่วนการบริหารกล้ามเนื้อด้านหน้าต้นขา มีประโยชน์โดยตรงกับข้อเข่าที่เสื่อม ช่วยให้มีแรงในการขยับข้อเข่าและพยุงให้ข้อมั่นคงขึ้น สามารถทำได้ง่ายจึงควรบริหารเป็นประจำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ
อาหารที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคนี้
ส่วนใหญ่แล้วแนะนำให้บริโภคอาหารลักษณะเดียวกับผู้ควบคุมน้ำหนัก ซึ่งเน้นเป็นอาหารไขมันต่ำ และเน้นให้ทานผัก-ผลไม้เป็นหลัก เพราะคนอ้วนหรือคนที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบ แพทย์แนะนำให้พยายามควบคุมน้ำหนัก ควบคู่กับการรักษาโรคด้วยยา โดยเน้นไปที่อาหารกลุ่มธัญพืชที่มีการขัดสีน้อย เช่น ข้าวกล้อง แป้งไม่ขัดขาว และผักใบเขียวต่างๆ ที่เป็นแหล่งเบต้า-แคโลทีน แคลเซียม โดเลต เหล็ก วิตามินซี ควรกินให้ได้ทุกวัน วันละนิดก็ได้ แต่ควรให้รับสม่ำเสมอ
แนวทางการรักษาโรคข้อเสื่อมมีอะไรบ้าง
โรคข้อเสื่อมเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากภาวะการทำลายข้อเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องดังนั้นเป้าหมายของรักษาใน ปัจจุบันไม่เพียงแค่เพื่อบรรเทาอาการ และเพิ่มการทำงานของข้อให้ดีขึ้นเท่านั้น แต่รวมถึงการรักษาที่สามารถชะลอการทำลายข้อให้ช้าลงได้ โดยสามารถแบ่งการรักษาได้เป็น 3 แบบ คือ
– การรักษาโดยการไม่ใช้ยา เช่น การลดน้ำหนัก การออกกำลังกาย การใช้อุปกรณ์พยุงข้อ เป็นต้น
– การรักษาโดยการใช้ยา ซึ่งประกอบด้วยยาหลายกลุ่ม โดยมีประสิทธิภาพ, กลไกการออกฤทธิ์ และวัตถุประสงค์ในการรักษาแตกต่างกันไป
– การรักษาโดยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อในกรณีที่ข้อถูกทำลายมาก อย่างไรก็ตามการผ่าตัดยังมีข้อจำกัดในผู้ป่วยบางกลุ่ม ทั้งนี้ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อพิจารณาถึงประโยชน์และข้อจำกัด หรือความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น
แนวทางการรักษาโรคข้อเสื่อมโดยการใช้ยา
การใช้ยารับประทานในโรคข้อเสื่อม
1) ยาที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวด, อักเสบ
ยาแก้ปวด เช่น ยาพาราเซตามอล และยาลดการอักเสบหรือยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ซึ่งยาทั้ง 2 ชนิดนี้ เป็นยาที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการเท่านั้นไม่ได้มีผลชะลอการทำลายกระดูกอ่อนแต่ อย่างใด ดังนั้นการดำเนินไปของโรคยังเกิดอยู่อย่างต่อเนื่องแม้ผู้ป่วยไม่มีอาการ อีกทั้งยากลุ่ม NSAIDs อาจมีผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารและไต รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดการอุดตันของเส้นเลือดหัวใจและเส้นเลือด สมอง ดังนั้นจึงควรใช้ในขนาดที่น้อยที่สุด และระยะเวลาสั้นสุดเท่าที่จำเป็น
2) ยาลดการทำลายกระดูกอ่อนผิวข้อหรือยาที่มีศักยภาพในการช่วยชะลอความเสื่อมของข้อ
กลไกการออกฤทธิ์ของยากลุ่มนี้ คือ ช่วยลดการสร้างหรือการออกฤทธิ์ของ “ไอแอล-วัน (IL-1)” ซึ่ง เป็นสารที่ทำให้เกิดกระบวนการทำลายกระดูกอ่อนผิวข้อ ดังนั้นยากลุ่มนี้จึงมีผลทำให้กระดูกอ่อนผิวข้อและเนื้อเยื่อรอบๆข้อถูก ทำลายน้อยลง อีกทั้งยังสามารถกระตุ้นการซ่อมแซมหรือการสร้างกระดูกอ่อนผิวข้อได้อีกด้วย ผลก็คือ ทำให้สมดุลในข้อดีขึ้น อาการปวด การอักเสบต่างๆ ก็จะน้อยลง ผู้ป่วยสามารถใช้ข้อได้ดีขึ้น อีกทั้งยังพบว่าการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องทำให้ชะลอความเสื่อมของข้อลง ได้ ดังนั้นยากลุ่มนี้จึงอาจเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมที่ไม่เพียง แต่ต้องการลดอาการปวดอักเสบเท่านั้น แต่ต้องการชะลอความเสื่อมของข้อด้วย
3) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นๆ
นอกจากยาที่กล่าวข้างต้น ยังพบว่ามีการนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอีกหลายชนิดมาใช้ในโรคข้อเสื่อมโดยหวัง ผลในการเสริมสร้างกระดูกอ่อนผิวข้อ โดยสกัดจากพืชและธัญพืชเช่น จากมังคุด จากน้ำมันรำข้าว และงาดำ ที่ประกอบด้วย กรดไขมัน กรดอะมิโน สารลิกแนน สารเซซามิน สารเซซาโมลิน วิตามินอี เป็นต้น
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://neramitthai.com
สนใจ น้ำมันงาดำสกัดเย็น ริซูอิ คลิ๊ก
Inbox : m.me/neramitthaidotcom
Line :@neramitme
Tel : 092-2637200
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น